หนึ่งเดียวในโลก - หนึ่งเดียวในโลก นิยาย หนึ่งเดียวในโลก : Dek-D.com - Writer

    หนึ่งเดียวในโลก

    ก่อนแยกจากกัน เธอบอกกับเขาว่า "ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลก" แต่สำหรับความรัก"ครั้งแรก" ในโลกนี้มีได้แค่ครั้งเดียว

    ผู้เข้าชมรวม

    135

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    135

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ก.ย. 49 / 22:13 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    เรื่องนี้ เป็นลักษณะงานเขียนที่เป็นการเล่าถึงชีวิตและการแสดงความรู้สึกของตัวละครโดยตัวละครนั้น ๆ เอง เป็นเรื่องแรกของผู้เขียนที่ไม่มีทั้งประสบการณ์และพรสวรรค์ จึงอาจจะทำให้เนื้อหาดูกระจัดกระจาย ไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด การใช้ภาษามั่วซั่วแบบกึ่งทางการและไม่ทางการ และข้อบกพร่องอื่น ๆ อีกมากมายค่ะ จึงอยากให้ผู้อ่านเปิดใจให้กว้าง ๆ ขณะอ่าน และช่วยแนะนำให้ด้วยค่ะ เพื่อจะได้นำไปพัฒนาในภายภาคหน้า ขอบคุณมากค่ะ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      "จำไว้นะ ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลก"

      ข้อความจากมิวที่ส่งผ่านคอมพิวเตอร์มาที่หน้าจอของรัฐทำให้เขาถึงกับน้ำตาไหล

      ...เราเลิกกันแล้วจริง ๆ ...



      ครั้งแรกที่เราพบกัน เราต่างคนต่างเพิ่งอยู่แค่ชั้นประถมปีที่ 3 เท่านั้น ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ฉันสังเกตได้ในทันทีว่าเขาเป็นนักเรียนเข้าใหม่ เพราะว่าฉันไม่คุ้นหน้าของเขาเลย ในตอนนั้นฉันเป็นหัวโจกขาใหญ่ในการก่อสงครามเย็นระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายในชั้นปี และเพื่อนสุดซี้ที่ชื่อมินท์ก็เป็นสุดยอดขาเมาท์ที่รู้จักคนทั้งระดับชั้น จึงทำให้สามารถบอกได้ทันทีว่าเขาเป็นเด็กใหม่ ประโยคแรกที่เราคุยกัน ฉันจำได้ดี ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงจำได้ เพราะมันไม่มีความสลักสำคัญอะไรเลย ซึ่งนั่นก็คือ

      "นายอยู่ ป. อะไร"

      "อยู่ ป.3"

      "ถ้างั้นเล่นได้"

      คงงงล่ะสิว่าเล่นอะไร มันคือไม้กระดานลื่นที่มีกฏตามประสาเด็ก ๆ ว่า ถ้า ป.อะไรมาถึงก่อนละก็ ป.อื่นไม่มีสิทธิ์เล่น และก็เป็นฉันนั่นเองที่ยืนตรวจตราว่า เด็กพวกนี้เป็น ป.3 ทั้งหมด หลังจากวันนั้น ฉันก็ไม่เคยได้เห็นหน้าเขาอีกเลย จนกระทั่งเราได้มาอยู่ห้องเดียวกันเป็นครั้งแรกตอนป.6 เป็นตอนที่ฉันเพิ่งตัดสินใจจะยกคนที่แอบปลื้มคนสุดท้ายในบัญชีให้เพื่อนสนิทที่ชื่อเมย์ วันนั้นเป็นวันแรกของการเปิดเทอมที่เป็นที่รู้กันว่า ถ้ามาสายละก็ อย่าหวังจะได้ที่นั่งดี ๆ ไปอีกตลอดเทอม ฉันมาถึงห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนสาวจอมสายเสมออีกคนหนึ่ง และที่นั่งที่เหลืออยู่ในห้องคือ ที่นั่งหลังห้องที่ดูปลอดภัยจากอาจารย์ ข้าง ๆ เป็นเพื่อนสาวที่มีการ์ตูนซ่อนอยู่เต็มใต้โต๊ะ กับอีกที่หน้าห้องสุด ๆ แบบประจันหน้ากับอาจารย์กันจะจะ แถมต้องนั่งข้างผู้ชายอีกต่างหาก การตัดสินใจก็บังเกิด ของเจ๊หัวโจกสงครามเย็น ระหว่างหลังห้อง แล้วให้ยัยสายเสมอไปนั่งหน้าซะ หรือ ยอมไปนั่งเสี่ยงภัยกับอาจารย์และผู้ชาย และสุดท้าย ฉันก็พูดออกมาว่า

      "ให้เธอเลือกก่อนละกัน"

      จะยอมให้เพื่อนผู้หญิงด้วยกันลำบากได้ยังไงล่ะ อีกอย่าง ฉันไม่ชอบแย่งอะไรกับใครอยู่แล้ว ยัยสายเสมอรีบขอบคุณและไปนั่งที่ข้างหลังอย่างสบายใจในทันที ส่วนฉัน ก็ถอนหายใจครั้งใหญ่แล้วถือกระเป๋าที่เต็มไปด้วยหนังสือสุดหนักแล้วก้มตัวขออนุญาตผ่านหน้าอาจารย์ไปยังที่นั่ง

      "เธอชื่ออะไรอะ"

      นายคนที่นั่งข้างฉันถามขึ้นมา ฉันหันหน้าไปมองเขา เอ๊ะนั่น นายคนนั้นนี่นา นายเด็กใหม่ อืม จริง ๆ ก็หน้าตาไม่เลวนะ ตัดสินใจให้นายมาอยู่ในรายการคนที่แอบปลื้มอีกสักคนแล้วกัน

      "ชื่อ มิว"

      "เราชื่อรัฐนะ ส่วนนี่ชื่อชัย"

      เขาชี้ไปที่ผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ เขา อืม... นี่เขาคงไม่ล่นสงครามเย็นกับเราหรอกนะ น่าจะดูเป็นคนดี จนกระทั่งตอนเที่ยง หลังจากที่ไปรับถาดอาหารมาที่โต๊ะแล้วออกไปเติมน้ำดื่มใส่แก้วที่นอกห้อง พอกลับเข้ามาจะเริ่มกินเท่านั้นแหละ ก็เห็นข้าวลอยอยู่ในน้ำซุป พร้อมกับนายรัฐและนายชัยนั่งหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน หนอย... รู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว และแล้ว สงครามผสมอาหารรสเด็ดก็เริ่มขึ้น ทุกเที่ยงจะมีเมนูพิเศษ บัวลอยไข่เจียว ข้าวสัปปะรสลอยแก้ว ต้มยำไข่ลูกเขย สาคูหมูสับ แกงจืดฟักกระเพรา และอื่น ๆ อีกมากมาย เกินจะจำได้ แค่อาหารยังไม่พอ เรายังมี เก้าอี้สวรรค์ ที่พอนั่งลงไปแล้ว กระโปรงหรือกางเกงของเราจะเหมือนกับเพิ่งไปนั่งบนปุยเมฆมา เพราะมันจะมีแป้งสีขาวโรยอยู่เต็มไปหมด ถ้าไม่ระวังละก็... เป็นที่รู้กัน แต่ถึงจะมีสงครามปัญญานิ่มเหล่านี้ก็เถอะ เราก็สนิทกันยิ่งกว่าอะไร โดยเฉพาะฉันกับรัฐ ก็เรานั่งติดกันนี่นา แกล้งกันยิ่งกว่าอะไรดี

      ขอแนะนำอุปกรณ์การทำสงครามชิ้นใหม่ นั่นคือ "ปากกาหมึกซึม" และอุปกรณ์สงบศึก นั่นคือ "จอลลี่" หรือปากกาที่เอาไว้ใช้ลบหมึกนั่นเอง แต่ละครั้งที่เอกทำให้ฉันโกรธ ฉันก็จะสบัดปากกาหมึกซึมใส่เขา และเมื่อไหร่ที่หายโกรธ ก็ฉันอีกนั่นแหละที่เอาจอลลี่ไปช่วยลบจุดด่างตามเสื้อของเขา ซึ่งทุกครั้งหลังจากสบัดหมึกแล้ว จะรีบหายโกรธทันทีเพราะเป็นห่วงว่ามันจะลบไม่ออก เพราะหมึกของปากกาหมึกซึมนั้น มันซักไม่ออก มีเพื่อนคนหนึ่งเอาปากกาหมึกซึมใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อแล้วลืมปิดปากกา เสื้อตัวนั้นก็มีรอบตราบาปสีน้ำเงินดวงใหญ่ไปตลอดกาลเลย แม้แต่จอลลี่ก็ช่วยไม่ได้

      เพียงแค่เดือนครึ่งที่รู้จักกัน ฉันก็รู้ตัวว่าชอบเข้าเต็มเปา ไม่ว่าอะไรเกี่ยวกับเขาก็อยากรู้ทั้งนั้น ทั้งวันเกิด เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ ครอบครัว เดือนที่ 3 ที่เราได้รู้จักกัน ฉันตัดสินใจให้ของขวัญวันเกิดเขา มันคือกล่องดินสอ พร้อมดินสอกด และเทียนรูปดาว เป็นครั้งแรกที่ตั้งใจซื้อของขวัญวันเกิดให้ใครสักคนที่โรงเรียน แต่หลังจากที่ให้ไปเท่านั้นแหละ ทุกคนก็เริ่มล้อกัน

      "มิวชอบรัฐ..."

      ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดไปถึงห้องอื่น ๆ แต่ก็ยังดีนะที่ไม่รู้กันทั้งระดับชั้นไปซะเลย ด้วยคำล้อเหล่านี้ ทำให้ฉันและเขา ค่อย ๆ ห่างกันออกไปเรื่อย ๆ ไม่สิ... ฉันต่างหากที่ทำตัวห่างออกไป ทั้ง ๆ ที่เขาก็ยังเหมือนเดิม เขายังคงคุยเล่นและแกล้งกันเหมือนเดิม แต่ฉันกลับทำเมินเฉย เอาแต่หนี เอาแต่อายอยู่อย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วก็อยากกลับไปสนิทกันอีกครั้ง ขนาดที่เก็บไปฝันแทบทุกคืนว่าเราได้เล่นด้วยกันเหมือนเดิม และสนิทกันยิ่งกว่าเดิม

      เฮ้อ... ได้แต่ถอนหายใจ

      ปลายปีนั้น แพรวมาบอกกับฉันว่า ว่าเธอชอบรัฐ เธอขอเขาได้ไหม ฉันก็ตอบไปโง่ ๆ ว่า

      "เอาสิ"

      หลังจากนั้นก็เป็นปิดเทอมฤดูร้อน ฉันพยายามจะตัดใจ แต่ให้ตายสิ ทำไมถึงตัดไม่ได้นะ ต้องหาคนอื่นมาแทนซะแล้ว ไม่อย่างนั้นตัดใจไม่ได้แน่ ๆ ไม่เป็นไร เรากำลังจะเปลี่ยนห้อง เราต้องเจอสักคน แต่พอเปิดเทอม ฉันกลับเปลี่ยนใจไม่ได้ เหมือนตกลงไปในหลุมที่ปีนออกมาไม่ได้ บ้าน่า... เรามันก็แค่เด็ก เราจะไปรู้อะไร มันก็แค่ความรู้สึกของการเสียเพื่อนนั่นแหละ ตั้งแต่นั้น ฉันจึงมีแต่เพื่อนสนิทผู้ชาย แล้วหลังจากนั้นฉันก็ค้นพบว่า อยู่กับเพื่อนผู้ชายมันง่าย ๆ อย่างนี้เอง ไม่ต้องคิดอะไรมาก ส่วนเพื่อนผู้หญิงน่ะเรื่องมาก ถ้ามีแต่เพื่อนผู้ชายละก็ จะไม่ต้องคิดจะยกคนที่ชอบให้ใครอีก หลายคนบอกว่า ไม่เห็นต้องตัดใจเลย แต่ฉันกลับคิดว่า การเสียเพื่อนต่างหากที่เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เสียกว่า

      แต่ฉันก็ได้แต่ปากดี หลังจากปีนั้น ทุกเดือนสิงหาคมฉันจะต้องกังวลว่า ปีนี้จะซื้ออะไรดี ขอให้รู้ไว้ว่าฉันยังอยากจะสนิทกับนาย เคยอธิษฐานมากมาย ทั้งการขอพรงี่เง่าจากเครื่องบินร้อยลำ ทั้งการเสี่ยงดวง และอีกหลาย ๆ อย่าง เมื่อไรมันถึงจะเป็นจริง ทำไมเราถึงไม่อยู่ด้วยกันสักที ทำไมตอนนี้ฉันถึงไม่อยู่ในสายตาเขาสักที และสุดท้าย ก็ได้แต่ใจหาย ฉันรู้มาว่าเขามีน้องสาว ฉันก็ไปดูหน้าแล้วก็แอบคิดในใจว่า สักวันฉันอยากจะรู้จักกับเด็กคนนี้ แต่ก็ได้แต่คิด

      ฉันเคยโทรไปหาเอกที่บ้านครั้งหนึ่ง รวบรวมความกล้า ซ้อมบทพูด แล้วก็กดเบอร์โทรไป ถ้าเขารับเมื่อไหร่จะพูดตามนี้ทันที

      "ฮัลโหล สวัสดีค่ะ"

      ให้ตายสิ น้องสาวรับ ผิดแผน เสียงเริ่มสั่นด้วยความตื่นเต้น

      "รัฐอยู่บ้านไหมคะ"

      "สักครู่นะคะ... พี่รัฐ โทรศัพท์"

      "ฮัลโหล..."

      เอาล่ะสิ พูดไม่ออก เอกเรียกอยู่อีกสักสองสามครั้ง

      "ถ้าไม่พูดจะวางแล้วนะ"

      โธ่... ก็อยากจะพูดอยู่หรอก แต่หัวใจเต้นแรงอย่างนี้ เนื้อตัวสั่นอย่างนี้ เป็นใครก็เปล่งเสียงไม่ออกทั้งนั้นแหละ และแล้วเขาก็วางไป เอาใหม่ ขออีกที รอบนี้ไม่พลาดแน่ เปลี่ยนบทพูดใหม่ เอาล่ะ ตามนี้ ถ้าเค้าถามว่านี่ใครละก็ จะต้องเล่นตัวไว้ก่อน โอเค กดเบอร์เลย

      "ตรู๊ด..."

      "ฮัลโหล" รัฐเป็นคนรับ

      "ฮัลโหล รัฐเหรอ รู้ไหมว่านี่ใคร"

      "มิว"

      ... ผิดแผนอีกครั้ง กำลังจะเข้าสู่โหมดคนใบ้

      "ว่าไง มีอะไร"

      "เอ่อ... ไม่มี"

      "อ่อ เหรอ" เขาหัวเราะ

      "งั้นแค่นี้นะสวัสดี"

      อย่างกับคนบ้า บ้าหรือเปล่า บ้าแน่ ๆ พอแล้ว เลิก ต่อไปนี้จะไม่โทรอีกแล้วชั่วชีวิต หัวใจยังคงเต้นแรงจนเหมือนมันจะหลุดออกมาข้างนอก ใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนเพิ่งไปตากแดดจัด ๆ มายังไงอย่างนั้น เฮ้อ...

      3 ปีผ่านไปหลังจากนั้น ฉันย้ายโรงเรียน ชีวิตที่ผ่านไป มีทั้งสนุกสนานและโศกเศร้าตามประสาเด็กมัธยม ถึงแม้ว่าความชอบจะจางลงไป แต่ทุกปีก็ยังคงส่งของขวัญไปถึงรัฐ ทุกปีก็ยังคงอวยพรให้มีความสุข ทุกปี ๆ แต่ก็ไม่เคยได้คุยกัน จนวันหนึ่งก่อนที่ฉันจะได้ไปเรียนที่ต่างประเทศ 1 ปี ระหว่างที่กำลังเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่นั้น ก็มีข้อความส่งมา

      "สวัสดีมิว"

      เป็นข้อความที่ส่งมาจากรัฐ ฉันประหลาดใจมาก

      "สวัสดีรัฐ ทำอะไรอยู่เหรอ"

      "เล่น M มิวล่ะ"

      "กำลังจัดกระเป๋าน่ะ เรากำลังจะไปอเมริกาพรุ่งนี้"

      "จริงเหรอ เอาถุงมือไปด้วยนะ"

      "อืม เอาไปแล้ว"

      "ที่นั่นน่ะ หนาวมากนะ ต้องเอาไปด้วยนะ สำคัญมาก ๆ"

      "อือ"

      "แล้วก็ เอาหมวกไปรึเปล่า"

      หมวกเป็นอะไรที่ฉันเกลียดที่สุด เพราะตอนเด็ก ๆ เคยใส่แล้วมันคันหัวมาก

      "คงไม่เอาไปหรอก เราไม่ชอบอะ"

      "ไม่ได้นะ ต้องเอาไปด้วย เพราะตอนหิมะตกหูจะเย็นเฉียบเลย ใส่ปิดหูไว้จะได้อุ่น ๆ"

      "เหรอ"

      "ต้องเอาไปด้วยนะ สำคัญมาก ๆ"

      เฮ้อ... ลองเชื่อสักครั้งจะเป็นไรไป

      "แล้วก็ต้องมีผ้าพันคอด้วยนะ สำคัญมาก ๆ ไม่งั้นจะเป็นหวัดนะ"

      "จ้า" ผ้าพันคอก็ไม่ชอบเหมือนกัน ก็มันร้อนนี่ ไม่เอาไปดีกว่า

      "ทั้งสามอย่างต้องเอาไปนะ สำคัญมาก ๆ"

      "ฮะ ๆ ทำไมต้อง สำคัญมาก ๆ ตลอดเลยล่ะ ตลกดี"

      "อืม ไม่รู้เหมือนกัน ปกติไม่เคยใช้นะคำนี้ ใช้กับมิวเป็นคนแรกนี่แหละ"

      ให้ตายเถอะ ใจฉันเต้นไม่เป็นส่ำ นี่นายพยายามจะทำอะไรเนี่ย อย่ามาพูดแบบเป็ยนัยอย่างนี้นะ คิดมากรู้ไหม

      "เอาล่ะ ตอนนี้เที่ยงคืนแล้วคงต้องรีบนอนแล้วล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปสนามบินไม่ทัน"

      "โต้รุ่งไปเลยสิ จะได้ทัน ไม่กังวลดีด้วย"

      "สำคัญมาก ๆ อีกมั้ย"

      "ใช่ สำคัญมาก ๆ ว่าต้องไม่ตกเครื่องบิน"

      "ฮะ ๆ จ้า ๆ"

      "ฮะ ๆ แล้วจะเมล์ไปหานะ"

      "อื้อ แล้วไว้คุยกันนะ"

      หลังจากนั้นฉันก็ไปจัดกระเป๋าต่อจนเสร็จและดูทีวีจนเช้า ความตื่นเต้นที่จะได้ไปอยู่ที่ใหม่ 1 ปีเต็ม ๆ ทำให้ฉันลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ฉันนั่งเครื่องบินด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ได้แต่คิดว่าต้องดูแลสิ่งของของตัวเองให้ดี และต้องไม่ลืมส่งจดหมายกลับมาให้แม่ เมื่อไปถึงได้ 1 อาทิตย์ ก็มาดูอีเมล์ พบกับเมล์สารภาพรักจากเพื่อนสนิทที่โรงเรียนเก่า และเมล์ปริศนาที่มีหัวข้อว่า

      "Hello, America"

      ข้อความในนั้นเขียนเพียงสั้น ๆ ว่า

      "Hello from Thailand. How are you? Hope you have a safe trip."

      และหลังจากที่ฉันตอบเมล์ไป ก็ได้รู้ว่า เมล์นี่มาจากรัฐนั่นเอง ตกใจเล็กน้อย เพราะจำไม่ได้ว่าได้คุยกับเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หลังจากนั้น เราก็ส่งเมล์ถึงกันแทบทุกอาทิตย์ การรอคอยเมล์จากเขากลายเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในการมาอยู่ต่างประเทศ ทุกครั้ง จะได้อ่านเมล์ยาว ๆ ที่เหมือนกับการเขียนไดอารี่ เล่าถึงชีวิตแต่ละอาทิตย์ให้ฟัง ในขณะที่ฉันเองก็ส่งให้เขาในแบบเดียวกัน ในตอนนั้น เราสองคนเหมือนไม่ห่างจากกันเลย เป็นเพื่อนที่สนิทมาก เราเล่าถึงคนที่ชอบในตอนนั้นให้กันฟัง แล้วก็ปรึกษากันต่าง ๆ นานา จนถึงวันที่คิดจะตัดใจจากคนนั้น เราก็พยายามด้วยกัน จนในวันหนึ่ง ด้วยแรงยุจากเพื่อนสนิทที่อเมริกา ฉันก็ถามเอกว่า

      "Would you like to be my temporaly boyfriend? If we've found someone else that we like, we can break up and be friends."

      คำตอบที่ได้หลังจากนั้นคือ

      "ที่จริงฉันก็ชอบมิวเหมือนกันนะ มิวอยากจะเป็นแฟนชั่วคราวกับเราหรือเปล่า"

      ตลกดี ช่างเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แทนที่จะตอบว่า "ได้" สั้น ๆ ง่าย ๆ เขากลับถามกลับมาว่าฉันอยากจะเป็นแฟนชั่วคราวของเขาหรือเปล่า แต่โชคไม่ดีที่วันถัดมาหลังจากได้รับเมล์ ฉันต้องไปค่ายกับทางโรงเรียน กว่าจะกลับมาคือ 10 วันให้หลัง พอกลับมาดูเมล์อีกครั้ง ก็พบกับข้อความที่ว่า

      "นี่ตกลงว่าเราจะไม่เป็นเพื่อนกันต่อไปแล้วเหรอ ทำไมถึงเงียบหายไปล่ะ ถ้าไม่ตอบกลับภายใน 3 วันเราจะไม่อ่านเมล์อีกเลย"

      ให้ตายสิ ตอนนั้นกว่าจะกลับมาก็พอดีวันที่ 3 ให้หลังซะแล้ว ฉันรีบตอบเมล์นั่นทันที แต่หลังจากวันนั้น เขาก็ไม่ตอบกลับมา ทำให้ฉันคิดมาก เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เค้าคิดมาหรือเปล่า นี่เรากำลังจะกลับไปเป็นเหมือนตอนนั้นอีกเหรอ ตอนที่เราไม่ได้คุยกันอีก เป็นเหมือนคนที่ไม่รู้จัก ไม่นะ ไม่เอาแล้วนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะทำยังไงดี เขาหายไปนานมากกว่า 2 อาทิตย์ ฉันคิดกังวลมากจนส่งเมล์ให้เพื่อนที่เมืองไทยช่วยโทรไปหาเขาแล้วช่วยบอกกับเขาให้เปิดเมล์อ่านว่าฉันตอบแล้วนะ ตอนนั้นประสาทแทบกระเจิง แต่หลังจากที่ส่งเมล์ไปให้เพื่อนด้วยความลนลานเสร็จแล้ว นายตัวแสบก็ส่งเมล์กลับมาพอดีพร้อมด้วยไดอารี่ประจำสัปดาห์เหมือนเดิม

      นี่ตั้งใจจะปั่นหัวฉันไปถึงเมื่อไหร่กันยะ...

      หลังจากวันนั้น เราก็เป็นแฟนชั่วคราวที่ติดต่อกันทางตัวหนังสือเท่านั้น ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้เห็นหน้า ซื้อมือถือเครื่องแรกมาเพื่อส่งข้อความให้กัน จนถึงวันเกิดของเขา วันที่ดวงดาวพฤหัสส่องสว่างชัดเจนที่สุดในรอบ 78 ปี ฉันขอคุยกับเขาทางโทรศัพท์ เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินเสียงของกันและกันหลังจากที่คบกันแบบชั่วคราวมาได้ 2 เดือน เราได้แต่คุยกันเรื่องดาวพฤหัสดวงนั้นตลอดคืน ความใกล้ชิดของเราเพิ่มขึ้นอีกระดับ แต่ก็ยังไม่เกินความรู้สึกของ"เพื่อนที่สนิทที่สุด" จนกระทั่งเดทครั้งแรก...

      "อยากไปห้างนั้นจัง"

      "ที่นั่นเราเคยไปบ่อย ๆ ตอนเด็ก ๆ กับย่า บ้านเก่าเราเคยอยู่แถวนั้น แต่ไม่เป็นมีอะไรเลย จะไปทำไม"

      "ก็ไม่เคยไปนี่นา ก็เลยอยากไปดูว่าเป็นยังไง"

      "ก็ได้ แล้วจะพาไปทัวร์รอบ ๆ เลย"

      เรานั่งแท็กซี่ตลอดทางจากโรงเรียนไปถึงห้างนั้น มันเป็นระยะทางที่ไกลมากขนาดที่ว่าค่าแท็กซี่ขึ้นเป็นหลักร้อย แต่รัฐก็อาสาจะจ่ายทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่ย้ำหนักหนาว่าหามเลี้ยง แต่เขาก็ยืนยันจะจ่ายให้ได้ จนตอนเที่ยง ฉันบอกว่า ถ้าเลี้ยงอีกจะโกรธ เขาจึงยอมให้จ่ายค่าอาหารเอง มื้อเที่ยงนั้นทำให้เราเรียนรู้กันอีกอย่างว่า เราแพ้อาหารชนิดเดียวกัน

      เขาอยากให้ฉันไปเดินซื้อเสื้อผ้า ซื้อรองเท้า เดินดูกระเป๋า ช้อปปิ้งเหมือนสาว ๆ ทั่วไป แต่เสียใจด้วย ที่ฉันเป็นคนซื้อของพวกนี้ไม่เป็น สุดท้ายเราก็ได้แต่เดินไปรอบ ๆ ห้าง ดูนู่นดูนี่ ร้านนี้อยู่ตรงไหน ร้านนั้นอยู่ตรงไหน

      "มิว... ขอจับมือได้ไหม"

      รัฐยื่นมือมาทางฉัน ใจแทบละลาย ให้ตายสิ ใครจะไปปฏิเสธลง หัวใจเต้นแรง เขินก็เขิน ตอนนั้นหน้าคงแดงมาก ฉันค่อย ๆ ยื่นมือไปวางบนมือเขาช้า ๆ เขาคว้าไปจับไว้แน่น มือของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาก็คงจะตื่นเต้นมากเหมือนกัน ยิ่งจับก็ยิ่งร้อน แต่ก็ไม่อยากปล่อยเลย อยากจับมือกันอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ วันนั้นเราไม่ได้ซื้ออะไรเลยนอกจากตุ๊กตาให้น้องสาวเขา 1 ตัว แต่ความรู้สึกที่ได้มาวันนั้น ถ้าต้องซื้อด้วยเงินเท่าไรก็คงจ่ายไม่พอ...

      เดทครั้งที่ 3 เรานัดกันไปดูหนัง วันนั้นคนที่เลือกหนังแย่ ๆ นั่นคือฉันเอง ก็ฉันไม่อยากดูหนังโรแมนติกนี่นา ถึงแม้ว่าเขาจะรบเร้าขนาดไหนก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมตามอยู่ดี และเช่นเคย ถูกเลี้ยงค่าตั๋วเป็นการแลกเปลี่ยน สาว ๆ หลายคนคงชอบที่ผู้ชายจ่ายค่าอะไรต่อมิอะไรให้ แต่ฉันเกรงใจมากกว่า ระหว่างที่เรากำลังรอรอบฉายอยู่นั้น เอกก็พยายามให้เราหาที่นั่งกัน ดูท่าทางเขาตื่นเต้นมาก เหมือนกับการหาที่นั่งมันจะมีอะไรสนุก ๆ เกิดขึ้น พอเราหาที่นั่งได้แล้ว รัฐก็พูดขึ้นว่า

      "มิว... เป็นแฟนกับเรานะ"

      หัวใจแทบจะหล่นมาอยู่ที่ตรงเก้าอี้นั้น น้ำตาจะไหล ทั้ง ๆ ที่มันคือสิ่งที่หวังมาตลอด เหมือนความฝันที่เป็นจริง แต่ฉันกลับตอบไปว่า

      "เอาไว้ตอบวันหลังได้ไหม"

      บ้า ๆ บ้ามาก บ้าหรือเปล่า ทำไมไม่บอกไปเลยล่ะว่าโอเค มิวบ้า บ้า ๆ ยังจะเก็บไว้อีก อะไรของเธอ หลังจากเหตุการณ์สุดประทับใจนั้น แทนที่จะได้ดูหนังสุดโรแมนติค กลับกลายเป็นหนังฆาตกรรมสุดโหดพร้อมฉากโป๊ xxx เป็นรางวัล ฉันได้แต่ปิดหน้าปิดตา ใบหน้าร้อนผ่าว ตัวค่อย ๆ หดเล็กลง ไม่ใช่เพราะดูอะไรแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ แต่เพราะอายมากต่างหาก ที่พาเขามาดูอะไรแบบนี้ ถึงว่าสิว่าทำไมถึงรบเร้าให้ดูหนังรัก เฮ้อ... ขอโทษ ผิดไปแล้ว ขอแก้ตัวได้ไหม... เขาถามอีกครั้งในเย็นวันนั้นทางโทรศัพท์หลังจากกลับบ้านไปแล้วว่า ตกลงคำตอบว่าอย่างไร ฉันตอบกลับไปด้วยความที่ต้องการที่จะวัดใจว่า

      "รออีก 6 ปีแล้วจะบอก"

      เพราะฉันเอง ก็รอเขามาได้ 6 ปีเต็ม ๆ เหมือนกัน เขาทำได้หรือเปล่า ที่ถึงแม้ฉันจะไม่ได้อยู่ข้างเขา เขาก็จะคิดถึงฉันเพียงคนเดียว...

      ความสัมพันธ์ของเราค่อย ๆ เพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อย ๆ เราเริ่มแทนกันด้วยตัวละครในนิยายรักญี่ปุ่นที่มีสภาพเหมือนกับเรา นั่นคือ ห่างไกลกัน แนะนำหนังสือนิยายเล่มนั้นเล่มนี้ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว ฉันเกลียดการอ่านหนังสือมาก ไม่ว่าจะเป้นนิยายแบบไหน ถ้ามีตัวอักษรเยอะเกิน 8 บรรทัดละก็ ยังไงก็อ่านไม่ลง แต่มาตอนนี้ กลายเป็นคนที่เข้าไปดูหมวดหนังสือนิยายรักทุกครั้งที่เข้าร้านหนังสือ เห็นร้านหนังสือที่ไหนไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปสำรวจสักรอบสองรอบ ว่ามีเรื่องอะไรน่าอ่านบ้าง แล้วเอามาแนะนำให้กัน จนกระทั่ง...

      "ทำไมมิวไม่บอกเราว่ามิวมีแฟนแล้ว"

      คำถามจากเพื่อนสนิทคนเก่าที่เคยมาบอกรักทำให้ความรู้สึกผิดเข้ามากัดกินหัวใจในทันที เพื่อนที่เราเคยคิดว่าจะทำให้ลืมเอกได้คนนั้น ส่งข้อความมาให้ ในสมองมีแต่ความสับสน ควรจะทำอย่างไรดี ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดี ความรู้สึกที่ว่า "เพื่อนมาก่อนแฟน" มันกำเริบเสียแล้ว ทำให้เกิดคำถามมากมายจนมาถึงคำถามสำคัญที่ว่า

      "ถ้ารักเขาจริง กับเรื่องแค่นี้ทำไมต้องกังวล"

      แสดงว่า ไม่ได้ชอบจริง ๆ เหรอ แค่อยากมีใครสักคนเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันกำลังทำร้ายเขา กำลังให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ กับเขาเหรอ คำถามพวกนี้ทำให้รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์กัน ฉันขอเวลาให้เขาไม่ต้องโทรมาบ่อย ๆ ในช่วงนี้ แต่เขากลับคิดว่าฉันกำลังททดสอบแล้วบอกว่า จะไม่เลิกโทร ทำให้ยิ่งหงุดหงิดไปเรื่อย ๆ ทั้งตัวเองที่ไม่แน่ใจ ทั้งเอกที่ไม่เข้าใจ เขาจะเข้าใจได้ยังไงถ้าฉันไม่บอก แต่เรื่องอย่างนี้จะบอกได้ยังไง สุดท้าย... มันก็มาถึงขีดสุด ฉันตัดสินใจแล้ว... เราห่างกันไปเลยดีกว่า...

      "เราเลิกกันเถอะ"

      ฉันส่งข้อความเข้ามือถือเขา เขาโทรกลับมาในทันที แต่ฉันก็กดทิ้ง

      "ทำไมล่ะ"

      "ไหนว่าจะเคารพสิ่งที่เราตัดสินใจไงล่ะ"

      ฉันไม่มีเหตุผลที่แท้จริงหรอก แค่อยากให้เราห่างกัน แต่ไม่รู้จะทำยังไงนอกจากวิธีนี้

      "แล้วทำไมเราถึงต้องเลิกกันล่ะ"

      "พอแค่นี้เถอะ ขอร้องเถอะนะ"

      "ไม่เป็นไร ยังไงไม่ว่าเมื่อไร เธอก็คือ...ของฉัน"

      "ฉันไม่ใช่อะไรทั้งนั้น เราแค่คิดว่าตัวละครนั่นเหมือนเรา แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย"

      "มิว เป็นอะไรไปเนี่ย ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้น"

      "เราเป็นแค่แฟนชั่วคราว ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะเลิกกันเมื่อไหร่ก็ได้"

      ฉันโหดร้ายมาก ขอร้องล่ะ ตอนนี้ได้แต่คิดว่า ฉันไม่เหมาะสมกับเขาอีกต่อไป เขาเป็นคนดีเกินกว่าจะมาอยู่กับคนโลเลอย่างฉัน เขาดีเกินกว่าที่จะต้องมาหยุดอยู่กับผู้หญิงแบบนี้ ฉันมันไม่ใช่คนดีนะ เกลียดฉันซะเลยก็ได้ ข้อร้องล่ะ

      "ขอคุยกันให้รู้เรื่องได้ไหม รับโทรศัพท์นะ"

      "ไม่ ปล่อยฉันไปเถอะ เถอะนะ"

      ได้โปรดเถอะ ฉันกำลังร้องไห้ ฉันกำลังร้องไห้แต่เธออย่าได้รู้เลยนะ จงไปหาคนอื่นเถอะ

      "ก็ได้ แต่ฉันจะรักเธอตลอดไป"

      นั่นเป็นข้อความสุดท้าย... คืนนั้นฉันไม่ได้นอนทั้งคืน ได้แต่คิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อตอนนั้น ฉันมันบ้า บ้าทุกที แต่ก็ไม่มีความแน่ใจอะไรสักอย่าง ชอบหรือแค่สงสาร มันเป็นคำถามที่น่าปวดหัวที่ตัวเองตอบไม่ได้ มันคืออะไรกันแน่...

      เราไม่ได้คุยกันอีกเลย จน 2 อาทิตย์ถัดมา รัฐส่งข้อความมาชวนฉันไปเที่ยวด้วยกันในวันปีใหม่ทางอินเตอร์เน็ต

      "ไปด้วยกันเถอะนะ เป็นครั้งสุดท้าย"

      "จะดีเหรอ อาจจะไปไม่ได้ มันดึกเกินไป"

      "เถอะนะ ไปด้วยกันนะ"

      "จะลองขอแม่ดูนะ"

      "เอ่อ... แล้ววันนั้น ช่วยแกล้งทำเป็นแฟนกัน อีกครั้งได้ไหม"

      "..."

      "นะ"

      "ก็ได้..."

      บ้าเหรอเนี่ย จะทำร้ายเขาไปถึงเมื่อไหร่ เธอจะบ้าเหรือเปล่า แต่ตอนนั้นได้แต่คิดว่า ถ้ามันทำให้เขาตัดใจได้ อะไรก็ได้ทั้งนั้น

      เดทครั้งสุดท้าย เขาก็ต้องตกใจอีกครั้งที่ฉันพาพ่อแม่มาด้วย คิดว่าคงทำให้เขาเสียแผนแน่ คงไม่มีใครคิดหรอกว่าพ่อกับแม่จะมาด้วย แต่ถ้าพวกท่านไม่มาด้วย ก็คงมาไม่ได้ ก็เลยพยายามจจะดึงเขาหนีไปที่อื่น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ เขารั้งเอาไว้ ให้รอพ่อกับแม่ด้วย จะเป็นคนดีไปถึงเมื่อไหร่ ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปอีก ยิ่งรู้สึกไม่เหมาะสม เธอทำได้ดีกว่านี้นะ เธอหาคนอื่นที่ดีกว่าฉันได้แน่ ๆ

      วันนั้น ฉันจับมือกับเขาอย่างไม่ลังเล ฉันแสดงบทบาทแฟนได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งบทสนทนา ทั้งการกระทำ ทั้งหมดต่อหน้าพ่อแม่ตัวเอง เหมือนกับกำลังเปิดตัวแฟนให้พ่อกับแม่รู้จัก วันนั้น เหมือนกับสิ่งที่เราเคยบอกเลิกกันมันไม่เคยเกิดขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เราคือคู่รักกันที่ในวันพรุ่งนี้ และวันต่อ ๆ ไปก็ยังจะอยู่ด้วยกันจนกระทั่งแต่งงาน จนฉันแทบจะหมดความสงสัยในตัวเอง

      ก่อนจากกัน เข้ามอบถุงให้ฉัน ข้างในนั้น เขาบอกว่ามีของขวัญที่ควรจะให้มานานแล้ว เป็นสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ ของที่ควรจะให้มานานแล้วคืออะไร... เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันเปิดถุงนั้นออกดู ข้างในมีกล่องเล็ก ๆ สีขาวพร้อมการ์ดขนาดมาตรฐาน 1 ใบ มันคือ...

      "ของขวัญวันเกิด"

      มันคือสิ่งที่ฉันไม่เคยพลาดที่จะส่งให้เขาทุกปี สิ่งที่ฉันไม่เคยได้รับกลับคืนมาแต่ก็ยังยินดีที่จะให้ มันยังไม่ถึงวันเกิดของฉันหรอก วันเกิดของฉันจะมีขึ้นในอีก 20 วันข้างหน้า ฉันค่อย ๆ เปิดกล่องออกดู มันคือสร้อยคอจี้รูปผีเสื้อ ฉันชอบผีเสื้อแต่ไม่เคยบอกเขาไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงรู้ หรือแค่คิดว่าเหมาะดี มันอะไรกัน ฟ้าเล่นตลกหรือไง ฉันเปิดการ์ดออกอ่าน ภายในนั้น มีคำสารภาพรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับ และคำลงท้ายที่ว่า

      "เธอจะเป็นคนพิเศษของฉันตลอดไป"

      แต่นี่ยังไม่พออีกเหรอ แค่นี้ยังไม่พอที่จะทำให้ฉันกลับไปหาเขาอีกเหรอ ทำไมล่ะ ฉันกำลังใจแข็งเพื่ออะไร ฉันต้องการอะไรมากกว่านี้อย่างนั้นเหรอ แต่แล้วความสับสนก็กลับเข้ามาอีกครั้ง และความรู้สึกที่ว่า ไม่เหมาะสม มันก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ เขาเป็นคนดีเกินไป เธอทำร้ายเขา เธอควรจะปล่อยเขาไปเสีย

      และแล้ว 1 อาทิตย์ให้หลัง ฉันก็บอกกับเขาว่า

      "จำไว้นะ ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลก"

      ใช่ ต้องให้เขาคิดไปหาคนอื่นซะ ทำถูกแล้วล่ะ ฉันคิดอย่างนั้น และนั่นก็เป็นคำเดียวที่ฉันย้ำแล้วย้ำอีก ตั้งแต่นั้น จนเราต่างแยกกันเข้ามหาวิทยาลัย เขามีแฟนคนใหม่จริง ๆ ได้ยินจากเพื่อนว่าเขาได้แฟนตั้งแต่อาทิตย์แรกที่เข้ามหาวิทยาลัย ยินดีด้วยนะ ขอให้มีความสุขมาก ๆ

      "บ้า"

      จิตใต้สำนึกตะโกนบอก

      "เธอมันบ้า มิวบ้า"

      ใช่สิ ตอนนี้ฉันเพิ่งเข้าใจ ใช่ ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลก และใช่ ผู้ชายก็ไม่ได้มีคนเดียวในโลกใบนี้ แต่ในโลกของฉัน มันมีได้แค่รัฐคนเดียว สมองเหมือนถูกโปรแกรมว่าให้มีแต่คนนี้คนเดียว คิดถึงแต่คนนี้คนเดียว ถึงจะไปหลงเสน่ห์ใครที่ไหนแต่กจะกลับมาหาคนนี้เพียงคนเดียว ต้องคนนี้เท่านั้น เราถูกขีดมาเพื่อให้เป็นคู่กัน มันเป็นเส้นสีแดงหนาเตอะที่มัดเราเข้าไว้ด้วยกัน แต่ฉันมันโง่ ฉันกลับทำทุกวิถีทางที่จะตัดมันให้ขาด ได้แต่คิดว่าอยากให้เขาไปหาคนอื่น คิดแต่ว่าอยากออกจากโชคชะตานั่น ถ้าอย่างนั้นจะให้ของขวัญวันเกิดเขาอีกทำไม จะรออีก 5 ปีที่เหลือไปทำไม คิดว่าบอกว่ารักเขาตอนนั้นแล้วจะได้อะไรเหรอ ใครจะไปรอ ใครจะบ้าเท่ามิว ทั้งบ้าทั้งโง่ คิดว่าจะมีใครรักเธอได้อย่างนี้อีกเหรอ เธอมันโง่ มันจบแล้ว มันจบแล้วจริง ๆ เพราะตัวเองนั่นแหละ เพราะตัวเองทั้งนั้น... ขอโทษนะเอก ขอโทษ... รู้ว่ามันไม่พอ แต่อยากพูดคำนี้ ไม่ต้องให้อภัยฉัน แค่อยากให้รู้เท่านี้ ขอโทษจริง ๆ นะคะ ดาร์ลิ้ง...

      ผมได้แต่นั่งซึมเงียบ ๆ หลังจากได้รับข้อความนั้น ความพยายามทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ทุกอย่าง ทำไม เราไปทำอะไรไว้ให้เธอโกรธหรือเปล่า ทำไมเธอถึงไม่บอกอะไรเลย ทำไมเราถึงแก้ไขอะไรไม่ได้ เธอไม่รู้หรือไง ว่า ผู้หญิงที่เป็นเธอ มีแค่คนเดียวในโลก...

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×